29 ตุลาคม 2556

เตรียมตัวถ่ายพลุกัน

ภาพจาก internet 
นานๆ จะเขียนอะไรที่มีประโยชน์กะเค้าบ้าง 
จะถึงเทศกาล ลอยกระทง วันพ่อ ปีใหม่
เทศกาลที่ผมพูดผ่านไปนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือพลุ
มือใหม่หลายๆคน รวมถึงตัวผมในอดีตที่เคยผิดพลาดมา

พลุ นี่จะต้องถ่ายกลางคืนใช่ใหม่ครับ ผมถ่ายพลุครั้งแรก กับกล้องฟีลม์ ซึ่งไม่รู้หรอกว่าภาพออกมาเป็นอย่างไรหลังจากต้องล้างออกมาเพื่อจะเห็น ในความคิดที่ใสซื่อครับ ตามหลักการทื่อๆที่ไม่มีผู้สอน กลางคืน f (รูรับแสง) ต้องกว้างเข้าไว้ แล้วโฟกัสอะไรที่ไหน ถ่ายตอนไหน เดาล้วนๆ สรุป เละ 555 นั่นละคือประสบการณ์ชั้นดีของผมเลยก็ว่าได้

หลังจากเข้าสู่ยุคดิจิตอล ตอนนั้น มีงานย่าโม แล้วชวนไปถ่ายพลุกัน ก็ติดสอยให้ตามไปด้วย กล้องดิจิตอลก็ยังไม่มีกับเค้า ยืมกล้อง DSLR-Like ของพี่ที่รู้จักกันไป ขาตั้งก็ไม่มี ก็ไปหายืมเอาข้างหน้า คือ ใจอยากถ่าย แต่ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยในตอนนั้น แล้วผลก็ออกมา




















คือ ในตอนนั้น photoshop ก็ใช้ไม่เป็น (จริงๆ ถึงตอนนี้ก็ใช้ไม่เป็น) กล้องที่ผมนำไปด้วยนั้น ไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ ไม่มีโหมดชัตเตอร์ B ดังนั้น เทคนิคบ้านๆ คือ ใช้ผ้าปิดหน้ากล้องซะ แล้วเปิดชัตเตอร์ที่ 30 วินาทีไว้ ก็ได้เห็นตามภาพ

ผ่านหลังจากงานแรก มาได้ครึ่งปี ศึกษาวิธีการถ่ายให้กระจ่าง ซึ่งพอจับใจความได้ดังนี้ (เป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ)
  1. ทำเล ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ครั้งแรกที่ถ่ายงานย่าโม อยู่ที่ดาดฟ้าตึกสูง 9 ชั้น ถ้าจำผิดขออภัย มุมนี้ ไม่มีใครมายืนบังแน่นอน
  2. ต้องรู้ว่า พลุจะขึ้นมาจากทางไหน อันนี้ก็สำคัญ ปักหลักสุ่มสี่สุ่มห้า พลุยุงด้านหลัง ทำอย่างไร ไม่ได้ภาพสวยๆแน่นอน
  3. ให้ถ่ายได้แต่พลุชุดแรกๆ อ้าว แล้วถ้าชุดหลังสวยกว่าละ ปัญหามันไปอยู่ที่ควันครับ ยิ่งยิงพลุไปเท่าไร ควันมากขึ้นเรื่องๆ ถ้าทำเลที่จั้งอยู่ใต้ลมละเอ้ย จบเห่ครับ
  4. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น สายลั่นชัตเตอร์ แบต เมม (พวกนี้ไม่ต้อบอกน่าจะรู้) ส่วนอย่างอื่นก็มี ข้าวกล่อง น้ำเปล่า ยาทากันยุง เสื่อ หมอน (หลังๆมาแล้วแต่ศรัทธา) ในการไปรอนี่ เราปักทำเลก่อน ได้เปรียบ เพราะ ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ไปถ่าย
  5. อย่าไปคนเดียว ในการถ่ายพลุ หาเพื่อนไปด้วยครับ ทรัพย์สินอันมีค่าของคุณจะได้มีคนช่วยดูแล 
  6. มาถึงการปรับแต่งกล้องก่อนถ่ายกัน
    • ถ่ายไฟล์ RAW ครับ ถึงชื่อจะบอกว่ารอ แต่ก็คุ้มกว่าแน่นอนในภายหลัง
    • ตั้งมุม ตั้งกล้อง เช็คระบบต่างๆไว้รอได้เลย
    • W/B หรือค่าสมดุลแสงขาว ตามที่ศึกษามาอย่างดี Daylove เอ้ย Day Light ดีที่สุดครับ สีจะตรง
    • ค่า f หรือค่ารูรับแสง อันนี้อาจจะขัดกับคอมมอนต์เซนต์นิดหน่อย ให้ใช้ตัวเลขประมาณ 8-11 ครับ เพราะเราจะได้ภาพพลุที่คม อย่าไปเปิด 1.4 ถ่ายนะครับ อาจจะได้อะไรเบลอๆ สว่างๆมาแทนพลุเป็นแน่
    • iso แล้วแต่สภาพแสงโดยรอบครับ รองถ่ายดูซักรูปละ 5-10 วินาทีดู ว่าเป็นอย่างไร
    • speed shutter อันนี้ เราใช้โหมดชัตเตอร์ B ครับ ส่วนมากก็แล้วแต่ความพอใจในรูป ไม่นานมากครับ เพราะพลุจะไปซ้อนกันแล้วไม่สวย
    • ส่วนกล้องที่ไม่สามารถตั้งโหมดชัตเตอร์ B ได้นั้น แถมไม่มีสายลั่น ทางผมขอแนะนำ วิธีที่เคยใช้ หาผ้าสีดำไปด้วย คิดว่าถ่ายพลุประมารนี้ พอได้เวลาที่พอ เราก็เอาผ้าดำคลุมไว้ จนกว่าชัตเตอร์จะดีดคืนครับ
แล้วที่เราเห็น ภาพที่พลุหลายๆดอก เค้าเปิดนานๆหรอ ไม่ใช่แน่นอนครับ การเปิดหน้ากล้องนานๆ มีความเสี่ยงที่ภาพเละสูงมาก เท่าที่รู้มา ใช้วิธีรวมภาพครับ เอามาซ้อนทับกัน

แล้วถามว่า จะเริ่มกดชัตเตอร์ตอนไหน ผมจะกดก็ต่อเมื่อได้ยินเสียง (ส่วนมากพลุก็เสียงดัง) เราจะได้ช่วงขาขึ้นไปด้วย ส่วนจะพอแค่ไหน ก็ตามอัธยาศัยกันไป

แค่นี้เอง ง่ายๆใช่ไหมครับ สำหรับการถ่ายพลุ ไม่ว่าคุณจะใช้กล้องอะไร จะตัวใหญ่ตัวเล็ก ใช้วิธีที่ผมแนะนำไป แค่นี้คุณก็สามารถถ่ายภาพพลุสวยๆกันได้แล้ว

ถ้าอ่านแล้วมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้ที่
https://www.facebook.com/Neungkung



ภาพถ่ายที่ดูสวย ไม่จำเป็นต้องโปรคุณก็ทำได้
iPhotoIndy

26 ตุลาคม 2556

ผมจะเล่านิทานให้ฟัง


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ววววววว ......
มีหนูน้อยหมวกแดง ได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมยาย ซึ่งยายของเขากำลัง ป่วยมาก ระหว่างทางที่เดินนั้น หนูน้อยได้หักกิ่งไม้ทิ้งไว้ตามทางเพื่อต้องกันการหลง และทันได้นั้นเอง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าหนูน้อยนั่นก็คือ แม่มด แม่มดผู้มีสิริโฉมงดงาม ดังนางฟ้า แม่มดได้ส่งซัมซุง เอ้ย... ส่งแอปเปิ้ลให้หนูน้อย หนูน้อยด้วยความไร้เดียงสา เลยกัดกินแอปเปิ้ลนั้น เลยทำให้โดนคำสาปของแม่มด ให้หลายเป็นกบ อยู่ในสระข้างทางนั้นเอง หลังจากแม่มดเห็นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง และจากไปแล้วนั้น ก็มีคนแคระทั้ง 6 ก็ได้ออกมาหากบเพื่อไปทำอาหารเย็นวันนี้ และตามที่คาดหมาย หนูน้อยที่โดนสาปถูกจับไปด้วย กบตัวนั้นได้ร้องขอชีวิต ว่าอย่าทำอะไรเลย นางคือเจ้าหญิงปลอมตัวมาสืบราชการลับ แต่จะกลับร่างเดิมเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น นางเลยตอบแทนโดยการไปช่วยงานที่บ้านของคนเคระ และในระหว่างที่นางกำลังเย็บเสื้อให้คนแคระนั้นเอง นางได้ถูกปลายเข็มจิ้มแล้วสลบลงไป คนแคระเกิดความโกลาหล ไม่รู้จะทำอย่างไร นางนอนสลบอยู่นานหลายปี จนมีวันนึง สุดสาครขี่ม้านิลมังกร ผ่านมาพอดี คนแคระจึงได้บอกความจริงที่เกิดขึ้น สุดสาคร ยินดีช่วยเหลือ สุดสาครเดินไปหาองค์หญิง รำพึงในใจว่า สงสัยต้องใช้สิ่งนั้นแล้วสินะ และได้หยิบของสิ่งหนึ่งในย่ามออกมา นั่นก็คือ รองเท้าแก้ว หลังจากที่ลองสวม พบว่าพอดีกับเท้านาง นางจึงได้ตื่นจากคำสาปขึ้นมา และได้ไปอยู่กับเงาะป่าที่กระท่อมปลายนา จบตราบฟ้าดินสลาย
เรื่องก็มีด้วยกันเพียงเท่านี้...

21 ตุลาคม 2556

วันหยุดสุดขีด

ผมเชื่อว่า หลายคนเป็นเช่นนี้
  1. ตอนเรียนก็เรียน ไม่ค่อยเที่ยวเพราะไม่มีทุนทรัพย์
  2. เรียนจบไปก็ทำงานบริษัทเอกชน
  3. ทำงาน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (6วัน)
  4. เริ่มมีเงิน เริ่มอยากไปเที่ยว
  5. แต่ พอไปเที่ยวก็ห่วงหน้าห่วงหลัง
  6. พอจะลา งานก็เข้า เจ้านายขออย่าเพิ่งลา
  7. สรุป ไม่ได้ไปไหน ทำงาน ทำโอทีต่อไป
ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นกับผมเมื่อสมัยเรียนจบแล้วทำงานในบริษัทเอกชนเล็กๆ แถวนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศไทย ทำงาน 6 วัน ชั่วโมงการทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว ก็แค่พักเหนื่อยเอนกายนอนทั้งวันก็หมดแล้ว แต่ถ้าคิดแบบนั้น ก็คง ไม่ได้ไปไหนกันพอดี

วันนึง ผมนึกครึ้มอยากไปเที่ยว แค่อยากไปเท่านั้นโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน กับใคร ที่ไหน และเมื่อไร ไม่มีการรวบรวมข้อมูลการเดินทาง มันเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ก่อนเลิกงาน 5 โมงเย็น เลิกงานไป กลับห้อง เก็บกล้อง และเสื้อกันหนาวใส่กระเป๋า เนื่องจากสภาพตอนนั้นอากาศเย็น นั่งรถไปที่ สถานีขนส่งหมอชิต โดยไม่รู้ว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น การเริ่มต้นการเดินทางคือการหาจุดหมายปลายทาง ในสิ่งที่ไม่เคยไปสัมผัส และสุดท้ายนั้น ผมเลือกที่นี่
จุดหมายที่ไม่รู้ปลายทาง
หลังจากขึ้นรถ ผมก็ลองพยายามติดต่อเพื่อน ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันหลายปี ไม่รู้ว่าติดต่อยังได้อยู่ไหม เปลี่ยนเบอร์หรือยัง แต่ เดชะบุญที่เคยสั่งสมมา ปลายสายรับโทรศัพท์ เราก็บอกเลยว่า จะไปหา พาเที่ยวหน่อย ปลายสายเกิดอาการ งงๆ แต่สุดท้าย เค้าบอกว่า จะนัดเพื่อนให้ด้วยละกัน ซึ้งใจมากๆ พอเช้าตื่นมา รถก็มาเทียบชานชลาจังหวัดหนองคาย ตามประสา ถ่ายรูปซะหน่อย
สะพานข้ามแม่น้ำโขง ยามเช้า
หลังจากหาอาหารท้องถิ่นกินเรียบร้อย ต่อไป ก็ไปหาเพื่อนตามที่นัดหมาย เนื่องจากเป็นการเดินทางในต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตด้วยตัวเองนั้น หนังสือเดินทางอะไรก็ไม่มี ต้องไปพึ่งการติดต่อการทำหนังสือเดินทางชั่วคราว และก็ได้เวลา อำลาประเทศไทย คือการไม่เคยไป ก็ต้อง ตามๆคนข้างหน้าไปแบบ งงๆ

ด่านที่ สปป.ลาว
ด่านที่หนองคาย 









จากการข้ามแดนมาก่อนเวลาที่นัดหมาย ก็เลยได้ถ่ายภาพเก็บบรรยากาศที่ด่าเรื่อยๆ พร้อมกับการกินเบียร์ลาว (มาถึงก็ต้องลองซักนิด) หลังจากนั้นก็ทำการแลกเงิน เป็นสกุล กีป เพื่อใช้จ่ายที่ถูกกว่าเงินไทย
จากเงิน 500 บาทไทย
กินแอลกอฮอล์แต่เช้าเลย
ทางขึ้นประตูชัย
หลังจาก เพื่อนๆจากฝั่งลาวมารับ เพื่อนๆผมนี่เป็นนักกีฬา รู้จักกันตอนทำงานเป็นอาสาสมัคร ซีเกมส์ที่โคราช เนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่คุยกันรู้เรื่อง (คุยง่ายกว่าคนไทยด้วยกันอีก) โดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ สถานที่แรกที่พาไปก็คือ ประตูชัย การที่จะขึ้นไปได้นั้น ต้องมีการเสียค่าเข้าชม แต่เนื่องจาก เพื่อนผม เส้นใหญ่ (มารู้ว่าเป็นใครทีหลัง) ไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก แถม้ราก็หล้าออกลาวๆซะด้วย เนียนฟรีสิพี่น้อง

ภาพจากมุมสูง
ประตูชัย




















หลังจากเก็บภาพสวยๆมาได้แล้วนั้นสถานที่ต่อไป คือพระธาตุหลวง พุทธสถานเชียงควน และหอพระแก้ว (ต้นแบปฏิมากรรม อุโบสถวันพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว กทม) ซึ่งตลอดทาง เพื่อนผมก็นำทางไม่หวาดหวั่น และถามตลอดว่าอยากไปไหน แต่ในเมื่อเราไม่มีข้อมูลอะไรเลย ดีงนั้นง่ายๆ อยากให้ไปไหน ก็ไป
พระธาตุหลวง
มุมย้อนแสง
พุทธสถาน เชียงควน
วัดพระแก้ว
ก่อนกลับ ก็พากันไปกินข้าวกันซะหน่อย เนื่องจากด่านปิด 18:00น. เลยต้องทำเวลากันบ้าง อาหารอร่อยดีครับ แถมกินกับของสิ่งนี้ ยิ่งอร่อยขึ้น ราคาก็ไม่แพงด้วย หมดไป แสนสาม...
เบยลาว 1 แก้ว(ที่นั่น แก้ว หมายความว่าขวด)
อธิบายอย่างละเอียดเลย
เพื่อนบอกว่า จะแกล้งให้ไปไม่ทันด่านปิด ผมเลยบอกอย่าแกล้งกันเลย ก็เลยไปสงที่ด่านประมาน 5 โมงกว่าๆ แถมยังบอกว่า ระวังเค้าไม่ให้ข้ามนะ หุหุ (เส้นใหญ่เสียจริงๆ) ก่อนกลับ ลองแวะที่ duty free ซะหน่อยว่าเค้ามีไรขาย ส่วนมากก็เป็นสุรา รองเท้า กระเป๋า ส่วนผมหรอ ไม่ได้ซื้อไรหรอก เดินชมไปเรื่อยๆ และก็ได้เวลากลับซะที
ดวงอาทิตย์ตกกลางแม่น้ำโขง
หลังจากกลับมาแล้วนั้น ก็ไปที่ขนส่งททันที เพื่อดูเที่ยวรถที่จะกลับไปทำงานในวันจันทร์ หรือวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
ได้เวลาเดินทางกลับ
ถึงหมอชิตประมานตี5 เห็นจะได้ นั่งรถต่อเพื่อกลับหแอล้วไปที่ทำงานได้ทันก่อนเวลา 8 โมงอย่างเฉียดฉิว เนื่องจากการมาสาย หักเงินด้วย 

เห็นไหมว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร มีเวลาน้อยแค่ไหน แต่ถ้าคุณคิดจะปลดปล่อยวิถีแห่งการเดินทางแล้ว มันก็คุ้มที่เราจะพร้อมเดินทางไปกับมัน ทริปนี้ ใช้เวาทั้งหมดรวมเดินทางเป็นจำนวน 37 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าใครสนใจ ลองทำดูบ้างก็ได้ แบบนี้สิที่เขาเรียกกันว่า "วันหยุดสุดขีด"

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ เพื่อนๆ น้องๆ ทั้ง 3 ที่นำทางตลอด 1 วันที่ สปป.ลาว
น้องแหม่ น้องตุ๊กตา และน้องบิลลี่ มากๆครับ
บิลลี่ ตุ๊กตา และแหม่ม
ถ้าในนี้รูปดูไม่จุใจ สามารถดูได้เพิ่มเติมที่ 

เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญ สำคัญแค่ว่า คุณกล้าพอหรือไม่ที่จะใช้เวลา
iPhotoIndy

18 ตุลาคม 2556

หนีเที่ยว (ตอนจบ)

ความเดิมในตอนที่แล้ว หลังจากฝ่าฝูงลิง ลงมาถึงหน้าทางขึ้นวัดเขาช่องกระจก แล้วก็เดินไป วนๆ งงๆ ไม่รู้ ซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อกับชีวิต เลยเดินไปที่ ขนส่งของจังหวัด ไปดูว่า ไปไหนได้อีก แสดท้าย หลังจาก หลงๆ งงๆ ก็มาโผล่ที่

คือ ลองจินตนาการดูนะครับ ว่า ชายหนุ่ม กับกระเป๋า 2 ใบ และขาตั้ง พาร่างกายไปจนถึงหัวหิน ด้วยการที่ไม่รู้และไม่เตรียมอะไรเลย นี่ละ รสชาติชีวิต หลังจากนั้นก็หาที่พัก ตามที่พี่วินมอไซด์บอก และเริ่มทำการ ท่องราตรี โดยการเช่าแมงกะไซด์นี่ละ แว้นนนนนนนน!!!
ภาพนี้อันตราย ใจไม่ถึงอย่าทำนะครับ
ไปเที่ยวไนท์ของหัวหิน เที่ยวสวนสาธรณะไปเรื่อยไปเปื่อย ตามประสาหนุ่มไม่มีที่ไป






หลังจากสำราญกับการท่องราตรี แบบ ไม่รู้อะไรเลยเสร็จแล้วนั้น ได้เวลาเข้านอนครับ พรุ่งนี้เช้า เราจะไปเก็บภาพดวงอาทิตย์ขึ้นกัน Zzzz!!! 
สุดท้ายตื่นแต่ตี 5 ไม่รู้ด้วยความตื่นเต้นหรืออะไร แต่ช่างมันเหอะ มาเที่ยวนี่ ไม่ได้มาพักผ่อน ลุยเลยครับ ชายหาดหัวหิน(ถิ่นมีหอย) ตอนเด็กๆ เคยไปแต่ชะอำ ถือว่าไกลสุดที่ลงมาละ นี่ เป็นการมาเหยียบน้ำทะเด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก คิดในใจ หาดไหนๆก็เหมือนกันละว้าาาา
สภาพตัวเองยามเช้า กับชายหาด หัวหิน
มาถึงหัวหินก็ต้องเห็นหิน ยามเช้าๆ
หลังจากกินลใ ชมวิวเป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องถึงเวลา หาของกินแล้วละครับ เนื่องด้วยการไปเที่ยวด้วยตนเองแบบนี้ เงินทองต้องหาเองออกเองนั้น กินตามมีตามเกิดละครับท่านผู้ชมที่เคารพ (ภาพในการกิน ไม่สามารถหาได้)

หลังจากนั้น คิดว่าจะปิดทริปแล้ว ก็ไปที่สถานีรถไฟหัวหิน เพื่อดูขบวนรถไฟฟรี ที่จะได้กลับบางสะพานใหญ่ ตอนที่ไปดูก็ประมาณ 9 โมง แต่รถไฟ มีตอนเวลา บ่าย3 เท่ากับว่า ผมมีเวลาอีก 6 ชั่วโมงกับถิ่นมีหอยแห่งนี้ ผมเลยเลือกที่จะไปชมวิว เมืองหัวหินกับยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ เขาหินเหล็กไฟ การไปนั้น ได้จ้างพี่วิน ไปรับส่ง ง่ายดี ทางขึ้น ทางดีไม่โหด แต่ จะชันไปไหน ลุ้นกันสนุกสนาน แต่เมื่อถึงแล้วนั้น วู้!!!
เยี่ยมชมเมือง และ บรรยากาศ หัวหิน
หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศแล้วนั้น ก็ได้เวลาไปนั่งเล่น นั่งรอ แถวๆสถานีรถไฟ ไปเก็บภาพสถานี ผู้คน และหลายๆอย่าง เพื่อเติมความสมบูรณ์ของทริป
และก็ได้เวลาที่รถไฟจะมา ลาก่อนหัวหิน แล้วเราจะมาใหม่ แต่การเดินทางของผมจริงๆ ไม่ได้จบลงแค่นี้สิครับ เพิ่งรู้ว่าบนรถไฟ มีอะไรอีกเยอะเลย ชีวิต บนรถไฟมีอะไรให้น่าค้นหา หลังจากนั้น ผมเลยชอบเดินทางด้วยรถๆฟ ถ้ามีเวลาจริงๆ ผมว่า สนุกดี
เหม่อมองฟ้าไกล
ของกินมากมายตลอดทาง
วิว 300 ยอดจากในรถไฟ
ข้าวก็มีขาย

สุดท้าย ปิดทริป การเดินทางหนีเที่ยวคนเดียวโดยไม่เตรียมตัวอะไรเลย อาจลำบาก แต่ชีวิตสนุกขึ้นก็น่าเสี่ยง 

การเดินทาง มักจะให้ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเสมอ
iPhotoIndy

14 ตุลาคม 2556

หนีเที่ยว

จุดเริ่มต้นการเดินทาง
ผมเชื่อ ทุกคนต้องเคยหนีเที่ยว การหนีเที่ยวของผมในที่นี้หมายความว่า ไปเที่ยวคนเดียวนะ สำหรับผม จนถึงตอนนี้ หนีเที่ยวมาแล้วหลายๆครั้ง แต่สำหรับครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อผมไปฝึกงานอยู่ที่บางสะพานใหญ่ ประจวบฯ นู่น เป็นอะไรที่ไม่ได้วางแผน เพราะผมคิดเสมอว่า แผนคือสิ่งที่เราจะไม่ทำ (ก็เป็นซะอย่านี้) การไปโดยไม่วางแผนการเดินทาง การไปโดยไม่วางแผนที่พัก การไปโดย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นความท้าทายอันยิ่งยวด ลองคิดถึงสภาพ ผู้ชายวัยหนุ่ม ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด หมวกผ้า มีกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋ากล้อง และขาตั้งกล้อง มุ่งหน้าด้วยรถไฟฟรี โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่ ตัวจังหวัดประจวบฯ ซึ่งคิดว่า คงจะหาพักที่นี่ละนะ
ทางขึ้นวัดเขาช่องกระจก กับสภาพอากาศร้อนรุ่ม
อ่าวประจวบ จากมุมวัดเขาช่องกระจก
หลังจากลงจากขบวนรถไฟแล้วนั้น มองซ้าย มองขวา (ไม่มีที่ไป) เลยไปหาอ่านตามป้ายท่องเที่ยวว่ามีที่ไหนบ้างหว่า ไปสะดุดที่ วัดเขาช่องกระจก จากสถานีรถไฟ เดินไปที่วัด ระยะทางถึงปากทางขึ้น ประมาณ 2 กิโลได้ แต่ไม่สนใจครับ เดินไปเรื่อยไปเปื่อย หลังจากนั้น เรามาเจอกับบันไดวัดใจ ทางขึ้นวัดเขาช่องกระจก 396 ขั้น ตอนนั้นเวลาเที่ยงตรง ไม่ได้ซื้อน้ำติดตัว สภาพอย่างที่รู้ จริงๆระหว่างทาง มีศาลาพักตลอด แต่เนื่องจากแถวนี้เจ้าที่แรงมาก ตั้งแต่ทางเข้า ถึงวัด เจ้าที่ที่ผมพูดถึงนั่นก็คือ "ลิง" ได้ทราบความจริงมาหนึ่งอย่างเกี่ยวกับลิงแถวๆนี้ ระหว่างทางขึ้น ถึงวัดนั้น เราจะเจอฝูงลิง (ใช้คำว่าฝูง) รวมๆกัน นับได้ประมาณ 5 ฝูง ซึ่งได้จองทำเลต่างๆ เช่น ปากทางขึ้น ศาลาพัก ซึ่งมีหลายศาลา และทางเข้าวัด แต่แปลกมาก ในวัดไม่เจอลิงซักตัว และแต่ละฝูงลิงนั้น ไม่ถูกกันด้วย คือถ้าข้ามถิ่นมาเมื่อไร กัดกันแน่นอน ระหว่างทางขึ้นไปนั้น บอกได้เลยว่า เหมือนเดินผ่านสวนลิง และน่ากลัวใช่ย่อย ถ้าเกิดมันกัดเราขึ้นมา กระโดดแย่งของขึ้นมา จะทำอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วนั้นก็ถึงจนได้ ผ่านไปด้วยดี(แทบลากเลือด) ไปถึงก็ใหว้พระขอพร และพึ่งรู้ว่า ณ จุดชมวิวของวัด เป็นจุดที่ ททท. มาถ่ายภาพโปรโมท แคมเปญ อะไร 7เดือน 9ตะวันไรนี่ละ ลืมไปแล้ว จุดนั้นที่ผมพูดถึง คือ "อ่าวประจวบ" ในจุดๆนี้ เราจะสามารถมองเห็นตัวเมืองประจวบได้เด่นชัด และความสวยงามของท้องทะเลสีคราม ความเหนื่อยที่เจอมาระหว่างทางหายเป็นปลิดทิ้งเลยครับ มีแต่ความสุข และเสียงชัตเตอร์ พร้อมกับสายลมแผ่วๆ ถ้ามีโอกาส ผมอยากให้ทุกคนได้ลอง มุม 360 ํ คุณจะมองเห็นทิวเขา ด้านหลังเป็นประเทศพม่า เป็นภาพที่สวยงามที่อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัส
ภาพ พาโนรามา จากวัดเขาช่องกระจก
คลิกดูภาพได้นะครับ อาจจะเล็กไปนิด หลังจากที่น่าจะได้เวลาที่จะลงแล้ว ประมาณบ่าย 3 ได้ รู้สึกว่าขาลง สบายกว่าขาขึ้น แถมมีคนเดินสวนทางเรามาเรื่อยๆ ซึ่งต่างกับขาขึ้นที่ขึ้นมาเพียงคนเดียว หลังจากลงถึงทางขึ้นเขาแล้วนั้น ผมไม่รู้จะไปทางไหนแล้วครับ เลยเดินไปเล่นไป ถึงสถานีรถไฟ นั่งเหงาๆอยู่คนเดียว แล้วสุดท้ายผมจะทำอย่างไรต่อไป สุดท้ายผมจะไปทางไหน ติดตามได้ในตอนต่อไปนะครับ^^

การเดินทางของผม สิ่งสำคัญคือระหว่างทาง มิใช่ปลายทาง
iPhotoIndy


13 ตุลาคม 2556

ครั้งแรกกับการเขียนบล็อก

ด้วยไม่ทราบว่าอารมณ์พาไป หรือใจสั่งมาก็ตาม หรือจะหาว่าลอกเรียนกันก็ตาม ถึงเพิ่งมาเริ่มเขียนอะไรให้คนอื่นอ่าน (ส่วนจะมีใครอ่านไม่อ่านอีกเรื่อง)
ผมเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ การเดินทางของผม ทำให้ผมได้เจอะเจออะไรหลายๆอย่าง ในการที่จะได้ถึงจุดหมายปลายทาง ข้างทาง มีอะไรให้เราพบเจอเยอะ ทั้ง ผู้คน สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อเอาตัวเราเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเมื่อไร ได้พบเลยว่า มัมนน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ศิลปะ วัฒนธรรม หรือสิ่งสรรที่ปรุงแต่งโดยธรรมชาติ ล้วนสวยงามเสมอ
วันนี้วันแรก ผมขอเสนอสถานที่แรก จริงๆเป็นที่ล่าสุดในตอนนี้ที่ผมไป วัดป่าภูหายหลง ปากช่อง วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดภู พระท่านว่าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 600 เมตรเห็นจะได้ โดยที่ยอดภูมีโบสถ์ ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งไม่เคยพบที่ไหนมาก่อนในชีวิตของผมเอง และรู้สึกว่าที่นี่บูชาพญานาค หรือไงนี่ละ พญานาคเต็มไปหมด หลังจากไหว้พระประธานเรียบร้อย เดินออกมาตรงประตูข้าง เจองูตัวน้อยๆ เลี้อยหนีไป สงสัยจะมาทักทาย^^ ถ้าอยากสัมผัส มุมพาโนรามา 360 ํ แนะนำให้มาดูมาชม วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไร


ทุกภาพถ่าย ถึงดูไม่งดงาม แต่ทุกภาพมีเรื่องราว
iPhotoIndy